ขับรถอยู่ดีๆ เครื่องก็ดับอย่างไม่รู้สาเหตุ เพื่อที่จะได้รอดพ้นจากสถานการณ์แบบนี้ รถลากจูงคือตัวช่วยแรกที่ควรนึกถึง อย่างไรก็ตามบริการรถลากจูงมืออาชีพนั้นอาจมีไม่เพียงพอต่อการความต้องในบางพื้นที่ ครั้งนี้เราจะพาทุกคนมาเรียนรู้ 4 ข้อควรปฏิบัติเมื่อต้องนำรถยนต์มาใช้เป็นรถลากจูงยามฉุกเฉินกัน รับประกันเลยว่าข้อมูลที่เรารวบรวมมานี้เหมาะกับทุกสถานการณ์ ไม่ว่าคุณจะรับบทเป็นผู้ช่วยเหลือหรือผู้ประสบเหตุการณ์ดังกล่าวก็นำไปปรับใช้ได้อย่างแน่นอน
1. รู้หลักในสำหรับรถลากจูง
การลากจูงรถยนต์ ฟังดูแล้วเหมือนเป็นเรื่องง่าย ใครๆ ก็สามารถทำได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงสิ่งใดมากนัก แต่คุณรู้หรือไม่ว่าที่จริงแล้วนั้นมีหลักในการเปลี่ยนรถยนต์ให้เป็นรถลากจูงอยู่ หลักการต่างๆ เหล่านี้มีขึ้นเพื่อที่จะช่วยรักษาให้รถยนต์นั้นไม่พังมากไปกว่าเดิมทั้งสิ้น อีกทั้งยังเป็นหลักที่เสริมเรื่องความปลอดภัยอีกด้วย
- ตรวจสอบว่ารถยนต์ที่ต้องถูกลากจูงขับเคลื่อนด้วยล้อไหน : โดยปกติแล้วรถยนต์จะมีระบบการขับเคลื่อนทั้งแบบ 4 ล้อและ 2 ล้อ สำหรับแบบ 2 ล้อนั้นก็จะแบ่งเป็นการขับเคลื่อนรถยนต์ด้วยล้อหน้าหรือล้อหลัง จุดสำคัญที่ต้องใส่ใจก็คือในการลากจูงรถแต่ละครั้ง ควรทำให้ล้อที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนยกสูงขึ้นเหนือพื้น เนื่องจากกระบวนการทำงานของเครื่องยนต์นั้น ล้อที่เป็นตัวขับเคลื่อนจำเป็นมีน้ำมันเกียร์มาช่วยหล่อลื่นเพื่อป้องกันการเสียดสี ดังนั้นเมื่อรถยนต์ดับ สตาร์ทไม่ติดจนต้องใช้รถลากจูง หากล้อที่ขับเคลื่อนยังคงติดพื้นและทำงานอยู่ อะไหล่ฟันเฟืองข้างในก็จะถูกขยับโดยที่ไม่มีตัวหล่อลื่น ส่งผลให้เกิดการเสียดสีจนชิ้นส่วนนั้นๆ เสียหายได้
2. เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม
ไม่มีใครรู้ว่าเวลาไหนที่จำเป็นจะต้องใช้รถลากจูง เพราะฉะนั้นการเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมสำหรับเหตุการณ์นี้จึงสำคัญเช่นแป๊บลากรถหรือตะขอพ่วงแบบเชือกที่ไม่ยืดหยุ่น เป็นต้น นอกจากนี้น้ำมันเกียร์ก็เป็นอีกสิ่งที่ควรมีติดเอาไว้เพื่อช่วยหล่อลื่นเพลาเกียร์ ป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้กับระบบเกียร์เมื่อถูกลากจูง
3. อย่าลืมคำนวณน้ำหนักและระยะทาง
ในกรณีฉุกเฉินที่ต้องใช้รถยนต์คันอื่นเป็นรถลากจูงจริงๆ แน่นอนว่าอุปกรณ์หลายอย่างอาจไม่ครบครันเหมือนบริษัทรถลากมืออาชีพ ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้รถยนต์ของคุณเสียหายกว่าเดิม การคำนวณน้ำหนักและระยะทางในการลากรถก็คือสิ่งที่มองข้ามไม่ได้ รถลากจูงควรมีน้ำหนักมากกว่ารถที่ถูกลาก การลากจูงควรดำเนินด้วยความเร็วไม่เกิน 30 กม./ชม. เท่านั้น และระยะทางในการลากจูงก็ไม่ควรเกิน 10 กม. ถ้าหากระยะทางที่คำนวณไว้ไกลกว่านี้ก็ควรมีช่วงหยุดพักการลากจูงประมาณ 10-15 นาทีเป็นอย่างน้อย ทั้งหมดนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ระบบเกียร์เสียดสีจนร้อนและเสียหาย
4. คำนึงถึงความปลอดภัย
ข้อควรปฏิบัติสุดท้ายก็คือเรื่องความปลอดภัย เพื่อช่วยให้รถลากจูงสามารถลากจูงรถของคุณได้ง่ายและปลอดภัยยิ่งขึ้น ก่อนลากจูงรถควรปลดเบรกมือและเปลี่ยนเกียร์ไปตำแหน่ง N ให้เรียบร้อย รวมถึงป้ายบอกเพื่อนร่วมทางว่ารถคุณกำลังถูกลากจูงอยู่ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยได้เช่นกัน
ครบแล้วกับ 4 ข้อปฏิบัติที่ควรทราบ เรียกได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบไม่คาดฝันเลยทีเดียวสำหรับการที่รถดับกลางทางจนต้องใช้รถลากจูง ดังนั้นก่อนออกเดินทางทุกครั้งจึงต้องสำรวจสภาพรถยนต์ให้เรียบร้อย ส่วนใครที่กังวลก็สามารถซื้อประกันรถยนต์ติดตัวเอาไว้ใช้เช่นกัน สามารถเข้ามาเลือกแพ็คเกจประกันรถยนต์จากบริษัทประกันชั้นนำในประเทศไทยได้ที่ Rabbit care เพราะเราได้รวบรวมมาไว้ให้คุณตัดสินใจง่ายๆ ที่นี่ที่เดียว มีพกไว้อุ่นใจ เกิดปัญหาตรงไหนก็มีคนคอยช่วยดูแล คุ้มค่าคุ้มราคาอย่างแน่นอน